เว็บข่าวสร้างสรรค์สังคม เทิดทูนสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของข่าวทั่วไป ข่าวสังคม ข่าวท้องถิ่น ร้านอาหารอร่อย และยังรับออกแบบ จัดงานอีเวนท์ ทุกประเภท รับงานออกสื่อออนไลน์ และสื่อหลักทั้งหนังสือพิมพ์และทีวี
วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2568
นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ประธานสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่ฯ ย้อนรอยกฏหมายฉ้อโกง สมัยอยุธยา รัตนโกสินทร์ บทลงโทษแรงกว่าปัจจุบัน
(อ่านแล้ว 187 ครั้ง)
Share on Google+

 

 

นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ ประธานสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย ได้ถูกเชิญร่วมสัมภาษณ์รายการ Inside รัฐสภา ทางวิทยุรัฐสภา FM.87.5 Mz. ระบบ AM 1071 ในหัวข้อกลโกงแชร์ลูกโซ่สมัยใหม่ เทรดหุ้น Forex-3D โดยมีนายณรงค์ฤทธิ คิดเห็น เป็นผู้ดำเนินรายการ

ล่าสุดวันที่ 13 ก.ย.65 นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ได้โพสต์ทางเฟซบุ้คส่วนตัวถึงเรื่องดังกล่าว ที่ได้ให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์ต่อผู้เสียหาย ประชาชนทั่วไปจนถึง หน่วยงานราชการ โดยมีใจความว่า

วันนี้ผมได้สัมภาษณ์รายการวิทยุรัฐสภา  ผมได้เล็งเห็นว่าทำอย่างไรให้พ่อแม่พี่น้องประชาชนคนไทยต้องไม่ถูกหลอกลวง  ถูกฉ้อโกง  จากปัญหาแชร์ลูกโซ่ ผมจึงอยากมองย้อนไปในอดีตปัญหาแชร์ลูกโซ่ในอดีต  ในสังคมไทยโบราณมีมั้ย  พอย้อนไปดูสมัยกรุงศรีอยุธยา นั้นไม่มีปัญหานี้  มีอย่างมากคือการปล้นสะดมซึ่งโทษสูงมาก และ  การลักทรัพย์ฉ้อโกงก็มีกฏหมายบัญญัติโทษไว้สูง  ผมขอเริ่มเขียนย้อนไปใน  ความผิดฐานฉ้อโกงของไทยเริ่มมีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยมีการตรากฎหมายเรื่อง"ฉ้อ" ไว้ในพระไอยการอาญาหลวง ซึ่งประกาศใช้เมื่อ พ.ศ. 1895 แต่ต่อมาถูกยกเลิกโดยกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 รวมเวลาใช้กฎหมายนี้ประมาณ 556 ปี   สำหรับเนื้อหาของความผิดฐานฉ้อโกงตามกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 นี้ ยังคงใช้ตามที่บัญญัติไว้ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เพียงแต่มีการจัดปรับปรุงใหม่ให้มาอยู่ในที่เดียวกันไม่ให้กระจัดกระจายออกไป เช่น ในพระไอยการลักษณะโจร บทที่ 112 บัญญัติว่า  "เจ้าของทองเงินเขาตกเขาหล่น ผู้ใดเก็บได้และผู้อื่นมิใช่ของตนมาว่าเป็นของตนตก  หายก็ดี ฝังไว้ก็ดี มาอธิบายเอาทรัพย์นั้นไป อยู่มามีเจ้าของแท้ออกมาว่าก็ดี เมื่อพิจารณาเป็นสัตย์ว่ามิใช่ทรัพย์ของตนและตนเองเท็จมุสาวาทว่าดังนั้น ท่านว่าคือคนร้ายฉ้อเอาทรัพย์ท่านและให้เอาทรัพย์นั้นตั้งไหมทวีคูณทำเป็น 3 ส่วน และให้เป็นของหลวงส่วนหนึ่ง ให้เจ้าของส่วนหนึ่งและให้แก่ผู้ได้อีกส่วนหนึ่ง"  ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ออกประกาศลักษณะ

ฉ้อ ร.ศ. 119  ซึ่งมีลักษณะเป็นกฎหมายอาญาที่มีการวางแนวทางของความผิดฐานฉ้อโกงให้ เป็นรูปเป็นร่างขึ้น โดยผู้ร่างได้แนวความคิดมาจากหลักกฎหมายอังกฤษ มีการแบ่งแยกความ  รับผิดทางแพ่งและทางอาญาออกจากกัน เช่น มีการลงโทษผู้ฉ้อในทางอาญาและในขณะเดียวกัน ผู้เสียหายอาจเรียกค่าชดใช้ในส่วนที่ตนเสียไปในทางแพ่งได้อีก ไม่ใช่ให้ผู้เสียหายได้รับเงินส่วนแบ่งจากเงินปรับไหมเข้าหลวงเช่นแต่ก่อน ตามประกาศฉบับนี้วางหลักไว้ในมาตรา 1 ว่า ผู้ใดหลอกลวงเอาเงินหรือของจากผู้อื่น โดยจงใจที่จะฉ้อ มีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 เท่า หรือทั้งจำ  ทั้งปรับ และอธิบายคำว่า "หลอกลวง" ไว้ในมาตรา 2 ว่า หมายถึง การกระทำโดยวาจาก็ดี โดย หนังสือก็ดี กิริยาก็ดี ให้เขาเข้าใจว่าการอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นไปหรือเกิดขึ้นหรือมีอยู่ ผิดไปจาก ความเป็นจริง แต่การหลอกลวงในการที่ตั้งใจว่าจะทำอะไรในเบื้องหน้านั้น ไม่เรียกว่าหลอกลวง  แต่เรียกว่าไม่ทำตามปฏิญาณ นอกจากนี้ ในมาตรา 3 ยังได้อธิบายคำว่า "เอามาได้จากผู้อื่น" ว่า เป็นการเอาไปเองหรือหลอกให้เขาไปให้ผู้อื่น และมีเจตนาที่จะไม่ให้เจ้าของได้คืนไปเลย

ดังนั้นผมขออนุญาตหยิบยกกฏหมาย  ร.ศ.119  มาประกอบ  โดยผมขออนุญาตใช้คำโบราณ  โดยไม่ตัดแต่งข้อความ  เพื่อให้เพื่อนๆพ่อแม่พี่น้องได้อ่านกฏหมายและเข้าใจ  ( บางคำอาจจะใช้ไม่เหมือนปัจจุบัน  )  โดยมีการประกาศใช้ในสมัยรัชกาลที่มีพระบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าแผ่นดินสยาม ให้ประกาศให้ทราบทั่วกันว่า ด้วยแต่ก่อน ถ้าราษฎร​ผู้ใดได้หลอกฉ้อทรัพย์สมบัติของผู้อื่นโดยประการต่าง ๆ แล้ว ผู้ที่ต้องเสียทรัพย์ทั้งหลายก็ฟ้องร้องเรียกเงินปรับเปนสินไหมพินัย ถ้าผู้ฉ้อไม่มีเงินให้ ก็มีวิธีจำเร่งซึ่งเปนโทษอาญากลาย ๆ ครั้นได้มีพระราชบัญญัติยอมอนุญาตให้ลูกหนี้ล้มละลายได้ การจำเร่งเงินก็เปนอันเลิกไป ผู้ฉ้อผู้โกงจึงมีใจกำเริบขึ้น ถือว่า ถ้าฉ้อเขามาได้ โทษก็เพียงแต่ต้องให้ของเขาคืน ไม่ต้องถูกเร่งจำจองเปนโทษอาญาอย่างไร สมควรที่จะให้มีกฎหมายทำโทษผู้ร้ายเช่นนี้ไว้บ้าง จึ่งทรงพระกรุณาโปรดให้ประกาศให้ทราบทั่วกันว่า ตั้งแต่นี้ต่อไป ถ้าผู้ใดประพฤติตนดังจะได้กล่าวต่อไปนี้ ให้มีโทษดังที่ได้บ่งไว้

 มาตรา 1 ถ้าผู้ใดหลอกลวงเอาเงินฤๅของมาได้จากผู้อื่นโดยจงใจที่จะฉ้อแล้ว ให้มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ฤๅปรับไม่เกินจัตุรคูณ ฤๅทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 2 คำที่ว่า หลอกลวง นั้น คือ หลอกลวงโดยวาจาก็ดี โดยหนังสือก็ดี โดยกิริยาก็ดี ให้เขาเข้าใจว่า การอย่างใดอย่างหนึ่งได้เปนไป ฤๅเกิดขึ้น ฤๅมีอยู่ผิดจากที่เปนจริง แต่หลอกลวงในการที่ว่า ตั้งใจจะทำอะไรในเบื้องน่านั้น ไม่เรียกว่า หลอกลวง เรียกแต่ว่า ไม่ทำตามคำปฏิญาณ มาตรา 3 เอามาได้จากผู้อื่น นั้น คือ จะเอามาเอง ฤๅหลอกให้เขาให้ไปแก่ผู้อื่น แลมีเจตนาที่จะไม่ให้เจ้าของได้คืนไปเลย มาตรา 4 ถ้าผู้ใดหลอกขาย หลอกแลก ฤๅหลอกให้เปนประกัน เช่น จำนำ แลขายฝาก เปนต้น ที่ดินโรงเรือนซึ่งพึงเคลื่อนจากที่ไม่ได้ โดยที่ทราบว่า ที่ดินโรงเรือนนั้นหาใช่ของตนไม่ แลโดยที่มีความประสงค์จะฉ้อเอาผลประโยช แลได้รับผลประโยชนมาบ้างแล้ว ดังนี้ ให้มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ฤๅให้ปรับไม่เกินจัตุรคูณ ฤๅทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 5 ถ้าผู้ใดหลอกขาย หลอกแลก หลอกให้เปนประกัน เช่น จำนำ ฤๅขายฝาก เปนต้น ที่ดินโรงเรือนซึ่งพึงเคลื่อนจากที่ไม่ได้ แต่ที่ดินโรงเรือนนั้นตนได้ให้เปนประกัน เช่น จำนำ ฤๅขายฝาก ไว้แก่ผู้อื่นครั้งหนึ่งแล้ว หาบอกความสำคัญนี้ ให้ผู้ซื้อ ผู้แลก ผู้รับประกัน จำนำ ขายฝาก ภายหลังทราบไม่ โดยที่มีความประสงค์จะฉ้อผลประโยชน์ แลได้รับผลประโยชน์มาบ้างแล้ว ดังนี้ ให้มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ฤๅปรับไม่เกินจัตุรคูณ ฤๅทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 6 ผู้ที่ถูกฉ้อมีอำนาจฟ้องเรียกทรัพย์ที่มันได้ฉ้อไปได้ แต่จะต้องฟ้องครั้งเดียว จะเปนความอาญาอย่างเดียวก็ดี ฤๅแพ่งเรียกทรัพย์คืนก็ดี ฤๅทั้งอาญาแลแพ่งรวมกันก็ดี แต่ถ้ากรมอัยการฟ้องทางอาญาแล้ว ผู้ที่ถูกฉ้อจะฟ้องแพ่งรวมสำนวนกับสำนวนกรมอัยการก็ได้ ฤๅจะฟ้องเปนคดีของตนต่างหากก็ได้ อย่างไรก็ดี จะเปนแพ่งฤๅอาญา ต้องฟ้องภายในกำหนด 6 เดือนนับตั้งแต่วันที่ได้ทราบความ มาตรา 7 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้ได้แต่เรื่องที่ได้ฉ้อกันภายหลังวันนี้ไป โดยประกาศมา ณ วันที่ 25 กันยายน รัตนโกสินทรศก 119 เป็นวันที่ 11641 ในรัชกาลปัจจุบันนี้

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าสมัยก่อนนั้นเป็นหนี้ ฉ้อโกง  หลอกลวงมาต้องใช้เงินคืน  และ  ถูกปรับ ผมขอหยิบยกเรื่องโทษทางอาญาในสมัยอยุธยามาฝากอีกกรณีจะได้เห็นภาพ  ผมขอหยิบยกข้อความบางส่วนจากหนังสือ “เรื่องกฎหมายเมืองไทย” ฉบับพิมพ์ของหมอบลัดเลใน “พระราชกำหนดเก่า” จุลศักราช 1094 (พ.ศ.2275) ได้บัญญัติไว้ว่าถ้าจับ “อ้ายผู้ร้าย” ไม่ได้ก็ให้จับลูกเมีย พ่อแม่ พี่น้อง พ่อตา แม่ยาย พวกพ้องเพื่อนฝูงมาจำแทน โดยถ้าเป็นชายก็ให้ใส่คาไว้ถ้าเป็นหญิงก็ให้ใส่ขื่อไว้

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าคุกกับตะรางเมื่อก่อนนั้นมีความหมายต่างกันคือ คุกใช้สำหรับกักขังนักโทษส่วนตะรางใช้สำหรับขังเมียของนักโทษ  เพราะถ้าจับคนร้ายไม่ได้ก็ให้จับลูกเมียมาลงโทษแทน 

นอกจากนั้นยังบัญญัติการลงโทษอีกว่า ถ้าโทษปล้นสะดมครั้งหนึ่งให้ตัดหูข้างหนึ่ง ถ้าครั้งสองให้ตัดหูอีกข้างหนึ่งถ้าครั้งที่สามให้ฆ่าเลย ส่วนโทษเบาลงก็ให้สักหน้าสักอกแล้วให้ติดพวงคือเป็น “คนพวง” จ่ายใช้ราชการในคุก นอกคุกเฉพาะเวลากลางวันส่วนกลางคืนให้จำใส่คุกไว้ แต่โทษปล้นสะดมให้จำคุกไว้ทั้งกลางวันกลางคืนคือ ห้ามไม่ให้พาออกมานอกคุกอย่างเด็ดขาด  แต่ถ้า  ถ้าโทษลักพระราชทรัพย์ในพระราชวัง โดยซื้อขายกันในพระราชวังให้ตัดตีนตัดมือ ให้ตัดตรงคุ้งข้อหรือที่ข้อตีนข้อมือ ถ้าลักออกไปนอกพระราชวังให้ฆ่าทั้งโจรและนายประตู “ถ้าทรงพระกรุณา บ่ให้ฆ่าตาย ให้ไหมโจรจัตรคูณ

ดังนั้น “คนพวง” ที่ทางคุกจ่ายออกมาทำงานนอกคุกบางคนจึงเป็นคนพิการ หูขาด มือขาด หลังลาย เพราะถูกทวน (ตี) ด้วยลวดหนังและผอมโซด้วยความอดอยาก

อนึ่งในพระราชกำหนดเก่าได้บัญญัติไว้ด้วยว่า ถ้าอ้ายผู้ร้ายลักของพระหรือโจรปล้นสะดมลักช้าง ม้า รับเป็นสัตย์ให้ขังคุกไว้และจำ 5 ประการคือ คา, โซ่, ตรวน ร้อยคอและร้อยเท้าจนกว่าจะตาย เท่ากับติดคุกไม่มีวันออกนั่นเอง

พอเรามาตัดมาในยุคที่เป็นทุนนิยม  เสรีประชาธิปไตย กฏหมายกับเบาเหมือนปุยนุ่น  ทำผิดวันนี้  กว่าจะลงโทษอีกเป็นสิบปี  กว่าผู้เสียหายที่ถูกฉ้อโกงทรัพย์ไปจะได้คืนนั้นต้องรอหลังจากคดีถึงที่สุด  ก็รอนานไปอีกสิบปี  ( ตามกฏหมายปัจจุบันผู้เสียหายมีสิทธิสืบทรัพย์ตามคำพิพากษา  10ปี  ) หาไม่เจอก็เป็นหนี้สูญถึงแม้จะมีกฏหมายฟอกเงินมาช่วย  แต่คดีฉ้อโกงประชาชนเป็นเพียง1ใน28ความผิดมูลฐานฟอกเงิน ดังนั้นจึงยากมากที่ผู้เสียหายจะได้เงินคืนครบ ซึ่งแตกต่างจากสมัยก่อนที่ต้องชดใช้คืนให้ครบ   ไม่งั้นติดคุกติดตะรางไม่ได้ออกมา 

ขนาดในสมัยกรุงศรีอยุธยายังไม่มีความเสียหายแบบแชร์ลูกโซ่เหมือนในปัจจุบัน  สมัยนั้นความเสียหายที่เยอะก็น่าจะเป็นการปล้นสะดม  ผมก็ยกให้เห็นแล้วว่าแค่ลักม้า  ลักช้าง  ให้จำคุกไว้จนตาย  ขนาดรับสารภาพแล้วนะ  ไม่มีลดโทษครึ่งนึงแบบในยุคปัจจุบัน

ผมจึงไม่แปลกใจว่าทำไมในยุคทุนนิยม  ในยุคปัจจุบันการหลอกลวงจึงมีมากขึ้น  เพราะกฏหมาย  บทลงโทษไม่ทันกับอาชญากรรมที่แปรเปลี่ยนไป

ดังนั้นทั่วโลกจึงมีกฏหมายคุ้มครองคนในประเทศ  ป้องกันเงินในประเทศถูกเอาออกไป

ถึงแม้ในปัจจุบันผมก็ยอมรับว่า  พณฯพลเอก  เปรม ติณสูลานนท์  อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ออกกฏหมาย  พ.ร.ก.กู้ยืมเงินฉ้อโกงประชาชน  พ.ศ.2527 

โดยความเป็นมา   รัฐบาลประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของประชาชนที่อาจได้รับ  ความเสียหายจากการถูกหลอกลวงในการกู้ยืมเงินหรือรับฝากเงิน ก่อนที่จะมีพระราชกำหนดฉบับนี้ กระทรวงการคลังได้จัดให้มีการหารือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย กระทรวงการคลัง

กระทรวงมหาดไทย และกรมตำรวจในสมัยนั้น เพื่อกำหนดมาดรการป้องกัน โดยในชั้นแรกจะว่างพระราชกำหนดการเล่นแชร์  ซึ่งกำลังรอการจัดวาระเพื่อพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรมาแก้ไข รวมถึงการห้ามลงทุนนอกระบบที่มีการดำเนินการที่ไม่เปิดเผย และมีความเสี่ยงสูง หรือมีลักษณะที่นำเงินจากผู้ลงทุนรายใหม่ไปจ่ายเป็นผลตอบแทนให้แก่ผู้ลงทุนรายเก่า แต่ต่อมาพิจารณาความเหมาะสมและเร่งด่วนที่จะห้ามมีให้มีการประกอบกิจการกู้ยืมเงินที่มีการให้ดอกเบี้ยสูง และรวมถึงการปราบทรัสต์เถื่อนด้วยกระทรวงการคลังจึงได้พิจารณายกร่างพระราชกำหนดกิจการอันเป็นภัยต่อเศรษฐกิจ ขึ้น เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี และในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2527

 

 

Share on Google+
เศรษฐกิจในประเทศ